ผู้เชี่ยวชาญชี้การระบาดของโอมิครอนอาจผ่านจุดสูงสุดแล้ว แต่การระบาดใหญ่ของโควิดยังไม่สิ้นสุด

การระบาดระลอกล่าสุดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนอาจลดน้อยลงแล้วในหลายพื้นที่ของออสเตรเลีย แต่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า คงต้องใช้เวลาอีก 2 ปีก่อนที่ชีวิตจะกลับไปเป็นเหมือนช่วงก่อนการระบาดใหญ่ของโควิด-19

Australian Health Minister Greg Hunt

Health Minister Greg Hunt Source: AAP

การระบาดระลอกล่าสุดของเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนอาจผ่านจุดสูงสุดแล้วในหลายพื้นที่ของออสเตรเลีย แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ยังไม่ถึงเวลาเฉลิมฉลองในตอนนี้ เนื่องจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ยังไม่สิ้นสุด

จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่กำลังลดลงอย่างต่อเนื่องในบางรัฐที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดของออสเตรเลีย โดยอัตราการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลก็ส่งสัญญาณไปในทิศทางเดียวกัน

“เราเห็นสัญญาณชัดเจนว่าการระบาดระลอกนี้ของสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งอย่างน้อยก็ในนิวเซาท์เวลส์ วิกตอเรีย และเอซีที ได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว ในรัฐเซาท์ออสเตรเลียก็มีสัญญาณที่มีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน” นายเกร็ก ฮันต์ รัฐมนตรีสาธารณสุขของสหพันธรัฐ กล่าวกับผู้สื่อข่าวในเมลเบิร์นเมื่อเช้าวันจันทร์ (24 ม.ค.)

ศ.เอเดรียน เอสเตอร์แมน นักระบาดวิทยาและนักชีวสถิติ ที่มีประสบการณ์มากกว่า 40 ปี เห็นด้วย

“ผมดูค่าเฉลี่ยต่อเนื่องเจ็ดวันและคำนวณเทียบกับเวลา และสิ่งนี้ทำให้ผมสามารถมองเห็นรูปร่างโดยรวมของเส้นโค้งของกราฟแสดงลักษณะการระบาด (epidemic curve)” ศ.เอสเทอร์แมน กล่าวกับ เอสบีเอส นิวส์

“และผมก็ดูที่ค่าระดับการติดเชื้อยังผล (effective reproduction number) ซึ่งจะชี้ว่าการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อกำลังเร่งขึ้นหรือช้าลง”

เมื่อศ.เอสเทอร์แมนนำทุกอย่างเหล่านั้นมารวมกัน เขาจึงสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่า ค่าระดับการติดเชื้อยังผล (effective reproduction number) ลดลงต่ำกว่า 1 ในรัฐนิวเซาท์เวลส์เมื่อวันที่ 13 มกราคม และในรัฐวิกตอเรียในวันที่ 15 มกราคม ซึ่งแสดงถึงจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดลงของเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนระบาดในระลอกนี้

ความจริงแล้ว ศ.เอสเทอร์แมนกล่าวว่า การระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนได้ถึงจุดสูงสุดแล้วในทุกพื้นที่ของออสเตรเลีย รวมทั้งในนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี ยกเว้นในเวสเทิร์นออสเตรเลีย
Adrian Esterman
Adrian Esterman, epidemiologist from the University of South Australia. Source: Supplied
แต่เขาเตือนว่า นี่ไม่ใช่การสิ้นสุดลงของการระบาดใหญ่ของโควิด-19

“เรายังคงมีพื้นที่ที่กว้างใหญ่ในโลก ที่ผู้คนยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนและยังไม่ได้รับการปกป้องอย่างดี” ศ.เอสเทอร์แมน กล่าว

ตามข้อมูลที่รวบรวมโดยหนังสือพิมพ์ นิวยอร์ก ไทมส์ มีเพียง 53 เปอร์เซ็นต์ของโลกที่ได้รับการฉีดวัคซีนสองโดสแล้ว ศ.เอสเทอร์แมน กล่าวว่า "นั่นหมายความว่ามีโอกาสใหม่ ๆ เสมอที่จะมีเชื้อสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นอีก"

เชื้อสายพันธุ์ใหม่จะกลายเป็น 'สายพันธุ์ที่น่ากังวล' เมื่อใด

เชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ต่างๆ จำนวนหนึ่งกำลังอุบัติขึ้นทั่วโลก แต่มีเพียงไม่กี่สายพันธุ์เท่านั้นที่ถูกกำหนดเป็น “สายพันธุ์ที่น่ากังวล” โดยองค์การอนามัยโลก

โอมิครอนถูกจัดเป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวลเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน

เชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ต่าง ๆ นั้นมีลักษณะสำคัญ 3 ประกาศที่จะชี้ว่าสายพันธุ์นั้นเป็นเชื้อที่น่ากังวลมากน้อยเพียงไร ศ.โทนี แบล็กลี ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาที่คณะประชากรและสุขภาพประชากรของมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น บอกกับเอสบีเอส นิวส์  

“มันติดต่อกันได้ง่ายเพียงใด มากหรือน้อย มันหลบหลีกการปกป้องจากวัคซีนได้มากน้อยแค่ไหน และมันก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายอย่างรุนแรงเพียงไร มีอัตราการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตที่สูงหรือต่ำ” ศ.โทนี แบล็กลี กล่าว
Melbourne University epidemiologist Professor Tony Blakely
Melbourne University epidemiologist Professor Tony Blakely. Source: Supplied
เขากล่าวว่า เชื้อสายพันธุ์เดลตาติดต่อกันได้ง่ายมากกว่าและมีความรุนแรงกว่าเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ก่อนหน้าที่แพร่ระบาดในชุมชนในปี 2020 และมีความรุนแรงมากกว่าเชื้อโควิด-19 ที่แพร่ระบาดในชุมชนในปี 2020

แม้ว่าโอมิครอนจะติดต่อกันได้ง่ายยิ่งกว่าเดลตา แต่ไม่รุนแรงเท่า ศ.แบล็กลี ระบุ

ดังนั้น จะว่าไปแล้ว เราโชคดีเกี่ยวกับโอมิครอน ศ.แบล็กลี เสริม

“โอมิครอนทำให้เกิดความโกลาหลทางสังคมและสุขภาพมากมาย แต่อาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่มีการคาดการณ์หรืออย่างที่เคยเป็นมาในประวัติศาสตร์ก่อนหน้านี้”

“ผมคิดว่าเราโชคดีมากที่มีสายพันธุ์ที่ติดต่อกันได้ง่ายมาก ที่จะต้องมีเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งอยู่แล้ว แต่เป็นเชื้อที่ไม่รุนแรงเกินไป” ศ.แบล็กลี กล่าว

สายพันธุ์ที่น่ากังวลรุ่นต่อไปจะเป็นอย่างไร

ศ.เอสเทอร์แมนกล่าวว่า หากจะมีเชื้อสายพันธุ์ที่น่ากังวลตัวอื่นอุบัติขึ้นหลังจากโอมิครอน เชื้อตัวนั้นจะติดต่อกันได้ง่ายกว่าโอมิครอนอย่างแน่นอน

“เรากำลังเห็นเชื้อสายพันธุ์ต่างๆ มากมาย แต่ไม่มีสายพันธุ์ใดที่มีอันตรายอย่างมาก ดังนั้น โอมิครอนจึงเป็นข้อยกเว้น และเกือบจะแน่นอนว่าจะมีเชื้อสายพันธุ์ใหม่ตามมาหลังจากโอมิครอน” ศ.เอสเทอร์แมนกล่าว

“แต่ถ้าเชื้อสายพันธุ์ใหม่นี้ มารับช่วงต่อจากโอมิครอน โดยพื้นฐานแล้วมันก็ต้องติดต่อกันได้ง่ายกว่าโอมิครอน” ศ.เอสเทอร์แมน ระบุ

แต่จะก่อให้เกิดอาการป่วยที่รุนแรงมากหรือน้อยกว่าโอมิครอนนั้นขึ้นอยู่กับโอกาสหรือความเป็นไปได้ ศ.แบล็กลี กล่าว

“โอกาสที่สายพันธุ์ถัดไปจะรุนแรงมากหรือน้อยกว่าสายพันธุ์ที่เรามีในตอนนี้คือ 50/50 จริงๆ แล้วคุณไม่สามารถพูดได้ว่าสายพันธุ์ถัดไปน่าจะมีความรุนแรงน้อยลง ขึ้นอยู่กับโชคจริงๆ ” ศ.แบล็กลี กล่าว

หากสายพันธุ์ถัดไปหรือสายพันธุ์ที่น่ากังวลมีความรุนแรงน้อยกว่าโอมิครอน ผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นพ้องว่า การระบาดใหญ่ของโควิด-19 จะค่อยๆ หายไป

อย่างไรก็ตาม หากสายพันธุ์ถัดไปหรือสายพันธุ์ที่น่ากังวลนั้นรุนแรงกว่าโอมิครอน ศ.แบล็กลี ก็กล่าวว่า จะมีช่วงเวลาแห่งความยากลำบากรออยู่ในอนาคต

“หากเราโชคไม่ดี และหากเราได้สายพันธุ์ใหม่ที่ค่อนข้างรุนแรงและติดต่อกันได้ง่าย และหลบหลีกวัคซีนได้ นั่นก็อาจจะเลวร้ายอย่างมาก” ศ.แบล็กลี กล่าว

ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ เราต้องเตรียมพร้อม ศ.เอสเทอร์แมน ย้ำ

“นั่นหมายถึงการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่ผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ นั่นอาจหมายถึงการฉีดวัคซีนโดสที่ 4 ให้แก่ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง”

“และนั่นหมายถึงการเตรียมพร้อมที่จะออกมาตรการสาธารณสุขอีกครั้งทันทีที่ก้าวแรกของเชื้อสายพันธุ์ใหม่มาถึง” ศ.เอสเทอร์แมน กล่าว

วัคซีนต่างๆ ในอนาคตก็ช่วยได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้ว วัคซีนจะเป็นสิ่งที่ช่วยยุติการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ได้อย่างแท้จริง ศ.แบล็กลี กล่าว

“ในช่วงใดช่วงหนึ่งระหว่าง 6 ถึง 12 เดือน ผมคิดว่าจะสมเหตุสมผลพอที่จะคาดการณ์ว่า เราจะมีวัคซีนรุ่นใหม่ และวัคซีนเหล่านั้นจะมุ่งเน้นไปที่แกนกลางของเชื้อไวรัส ไม่ใช่มุ่งไปที่โปรตีนหนามของเชื้อ” ศ.แบล็กลี กล่าว

“และวัคซีนเหล่านั้นควรให้ภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น วัคซีนเหล่านี้จะให้ภูมิคุ้มกันที่ดีกว่า กว้างกว่า และลึกกว่า ต่อเชื้อสายพันธุ์ต่างๆ ไม่ว่าเชื้อสายพันธุ์ใหม่ในอนาคตจะเป็นอย่างไร และนั่นจะช่วยพาเราออกจากการระบาดใหญ่นี้ได้อย่างแท้จริง” ศ.แบล็กลี กล่าว

ชีวิตจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้งหรือไม่

ชีวิตจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ศาสตราจารย์เอสเทอร์แมนกล่าว แต่อาจต้องใช้เวลาสักระยะ

“ผมคิดว่าเราน่าจะประสบกับอีกหนึ่งปีของการระบาดระลอกต่างๆ ของสายพันธุ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น แต่เราจะมีวัคซีนที่ดีขึ้นมากและในอีก 12 เดือน เราน่าจะฉีดวัคซีนให้คนในโลกได้มากขึ้นเยอะ” ศ.เอสเทอร์แมน กล่าว

“ดังนั้น ผมหวังว่า บางทีในอีก 2 ปีข้างหน้าชีวิตจะกลับมาเป็นปกติ”
Wearing a mask
Source: Getty
อย่างไรก็ตาม บางสิ่งจะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมยุคก่อนโรคระบาด ศ.เอสเทอร์แมน กล่าว

“มีบางสิ่งที่เปลี่ยนไปตลอดกาล ผู้คนจำนวนมากขึ้นจะทำงานจากที่บ้านในอนาคต ผู้คนจะตระหนักถึงสิ่งต่างๆ เช่น สุขอนามัยของมือมากขึ้น”

“และสิ่งต่าง ๆ เช่นการสวมหน้ากากอนามัยจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วก่อนโควิด-19 ในเอเชีย แต่ผมคิดว่านั่นจะเป็นเรื่องธรรมดาในประเทศตะวันตกด้วย” ศ.เอสเทอร์แมน กล่าวทิ้งท้าย


คุณสามารถอ่านข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) เป็นภาษาไทยได้

ติดต่อสอบถามบริการสายด่วนให้ข้อมูลด้านสุขภาพเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนา (Coronavirus Health Information Hotline) ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1800 020 080

คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์  บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่ 

Share
Published 25 January 2022 6:05pm
Updated 31 January 2022 11:30am
By Akash Arora
Presented by Parisuth Sodsai
Source: SBS News


Share this with family and friends


Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand