น้ำมันแพงดันกระแสรถไฮบริด-อีวี ออสเตรเลียพร้อมแค่ไหน

ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในออสเตรเลียพุ่งเกือบ 3 สามเท่าเมื่อปีที่ผ่านมา เว็บไซต์ซื้อขายรถยอดนิยมพบ ปชช.ค้นหารถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นตั้งแต่ต้นปี พีคสุดช่วงวิกฤตน้ำมันแพงพิษความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน แต่ทำไมรถพลังงานสะอาดกลับวิ่งบนถนนออสเตรเลียไม่มากนัก

NACA Feature, electric vehicles

Charging an electric car Source: Getty

ประเด็นสำคัญ

  • ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจากผลกระทบความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ส่งผลให้ความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) และรถยนต์ไฮบริดเพิ่มสูงขึ้น โดยความต้องการในออสเตรเลียเริ่มส่งสัญญาณมาตั้งแต่ปี 2021 ที่ผ่านมา

  • บรรณาธิการเว็บไซต์ซื้อขายรถมือสอง carsales.com.au เปิดเผยว่า พบการค้นหารถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี 2022 โดยเพิ่มถึงจุดสูงสุดเมื่อ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา ผลการค้นหาของวันนั้นตลอดทั้งวัน 1 ใน 5 เป็นรถยนต์ไฟฟ้า

  • หัวหน้าฝ่ายนโยบายจากสภารถยนต์ไฟฟ้าในออสเตรเลีย ระบุว่าปัญหาหลักของการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าของออสเตรเลียคือราคาที่สูงเกินเอื้อม รวมถึงการสนับสนุนจากรัฐบาลที่ไม่เพียงพอ โดยอัตราการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในออสเตรเลียนั้นน้อยกว่าทั่วโลกถึง 4 เท่า และล้าหลังกว่าประเทศที่เทียบเคียงได้ไปหลายปี


ความต้องการยานพาหนะไฟฟ้า (EV) และยานพาหนะไฮบริด (HEV) ในออสเตรเลียอยู่ในระดับสูงสุดตั้งแต่เคยเป็นมา

ข้อมูลจากสภายานพาหนะไฟฟ้า (Electric Vehicle Council) เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาเปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2021 อยู่ที่ประมาณร้อยละ 2 ของการซื้อขายรถยนต์ทั้งประเทศ ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าเมื่อเทียบกับข้อมูลเมื่อปี 2020

นอกจากนี้ ยานพาหนะไฮบริด (HEV) ยังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยพบว่ารถไฮบริดคิดเป็นร้อยละ 7 ของยอดการซื้อขายรถยนต์ รถเอสยูวี รถกระบะ และรถตู้ใหม่ทั้งหมดในปี 2021 เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.3 จากปี 2020

ข้อมูลดังกล่าวได้รับการเปิดเผยในช่วงเวลาเดียวกับที่ราคาน้ำมันในบางย่านชานเมืองพุ่งสูงกว่า $2.20 ดอลลาร์ต่อลิตร และมากกว่า $3 ดอลลาร์ต่อลิตรในพื้นที่ส่วนภูมิภาค ขณะที่

ดร.เจค ไวท์เฮ็ด (Jake Whitehead) หัวหน้าฝ่ายนโยบายจากสภายานพาหนะไฟฟ้า (Electric Vehicle Council) กล่าวกับเอสบีเอส นิวส์ว่า ถึงแม้ความต้องการยานพาหนะไฟฟ้าในออสเตรเลียจะเพิ่มขึ้น แต่ก็ยัง “ล้าหลังไปหลายปี” เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่เทียบเคียงได้

เขากล่าวอีกว่า อัตราเฉลี่ยในการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกสูงกว่าในออสเตรเลียถึง 4 เท่า หรือประมาณร้อยละ 8

“ตัวอย่างที่ดีของตลาดที่เทียบเคียงได้คือในสหราชอาณาจักร พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่คล้ายกัน รายได้เฉลี่ยที่คล้ายกัน เป็นตลาดรถพวงมาลัยด้านขวา และมีรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 160 รุ่น” ดร.ไวท์เฮ็ด กล่าว

“ในออสเตรเลีย เรามีสิ่งนั้นน้อยกว่า 1 ใน 3 ความแตกต่างสำคัญก็คือ พวกเขามีรัฐบาลอนุรักษ์นิยมเหมือนกัน แต่เป็นรัฐบาลอนุรักษ์นิยมที่เปิดรับเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า และทำทุกอย่างเพื่อผลักดันการเปลี่ยนผ่านนั้นให้เกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้”

Electric vehicle
รถยนต์ไฟฟ้ากำลังอัดประจุไฟที่สถานีประจุไฟฟ้า Source: AP

ทำไมการเปลี่ยนมาใช้รถ EV ในออสเตรเลียจึงช้า

ศาสตราจารย์พอล เบิร์ก (Prof Paul Burke) หัวหน้าหน่วยงานเศรษฐกิจ อาร์นดท์-คอร์เดน มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Arndt-Corden Department of Economics at ANU) กล่าวกับเอสบีเอสนิวส์ว่า การเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าของออสเตรเลียที่เชื่องช้านั้น ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากนโยบายและการส่งสารของรัฐบาลสหพันธรัฐ

“เมื่อสองสามปีก่อน มีความแตกแยกในเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่เราต้องการให้เป็น” ศาสตราจารย์เบิร์ก กล่าว

เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหพันธรัฐได้ประกาศแผนยุทธ์ศาสตร์อนาคตด้านเชื้อเพลิงและยานพาหนะ (Future Fuels and Vehicles Strategy) โดยจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมมูลค่า $250 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า (EV)

แต่เนื่องด้วยงบประมาณส่วนใหญ่ถูกจัดสรรเพื่อสร้างสถานีประจุไฟฟ้า ดร.ไวท์เฮ็ด กล่าวว่า นโยบายดังกล่าวไม่ได้ระบุชี้ถึงหนึ่งในมาตรการที่เป็นอุปสรรคมากที่สุดสำหรับหลายฝ่าย

“มันสำคัญที่จะมีสิ่งจูงใจในระดับชาติ เพื่อลดราคาที่ต้องจ่ายล่วงหน้าสำหรับรถ EV นั่นคือสิ่งสำคัญ” ดร.ไวท์เฮ็ด กล่าว

ด้าน ศาสตราจารย์เบิร์ก กล่าวว่า หากการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้ายังคงอยู่ในระดับนี้ต่อไป ก็จะต้องใช้เวลานานกว่าที่รถยนต์ไฟฟ้าจะคิดเป็นร้อยละ 50 ของรถทั้งหมดที่ถูกขายในออสเตรเลีย

“จะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่สต๊อกรถของเราจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าโดยส่วนใหญ่ แต่เราจะอยู่ในแนวทางเพื่อสิ่งนั้นในช่วงสิบปีที่กำลังจะมาถึง” ศาสตราจารย์เบิร์ก กล่าว

“นี่คือเทคโนโลยีของวันนี้และอนาคต และเป็นสารเชิงนโยบายที่ชัดเจนว่า นี่คือสิ่งที่กำลังจะเป็นไปในตลาดของออสเตรเลีย”

รัฐและมณฑลต่าง ๆ กำลังทำอะไรอยู่

ในออสเตรเลีย มณฑลนครหลวงออสเตรเลีย (ACT) มีอัตราการเปลี่ยนมาใช้ยานพาหนะไฟฟ้าสูงที่สุดในประเทศ ร้อยละ 5.87 ของการซื้อรถใหม่ที่นี่ในปี 2021 เป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV)

ดร.ไวท์เฮ็ด กล่าวว่า รัฐบาลมณฑลนครหลวงออสเตรเลีย ยังเป็นรัฐบาลที่มีนโยบายยานพาหนะไฟฟ้าเปิดกว้างที่สุดในประเทศ โดยได้ยกเว้นอากรแสตมป์ (stamp duty) และค่าภาษีรถ เช่นเดียวกับการเสนอสินเชื่อปลอดดอกเบี้ย 10 ปี วงเงินสูงสุด $15,000 ดอลลาร์สำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

“สิ่งที่ดีสำหรับเรื่องนี้ก็คือ รถยนต์ไฟฟ้าแบบที่พบตามท้องตลาดจะมีราคาโดยเฉลี่ยประมาณ $15,000 ดอลลาร์ขึ้นไป” ดร.ไวท์เฮ็ด กล่าว

“ดังนั้น มันจึงสามารถดึงราคาของรถยนต์ไฟฟ้าลงมาอย่างได้ผล เพื่อให้เทียบเท่ากับรถที่ใช้นำมันเบนซินหรือดีเซล”

ขณะที่รัฐบาลรัฐนิวเซาท์เวลส์นั้นยังได้เสนองดเว้นอากรแสตมป์ พร้อมจ่ายเงินชดเชยอีก $3,000 ดอลลาร์ ในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่มีมูลค่ารวมภาษีแล้วน้อยกว่า $68,750 ดอลลาร์

รัฐควีนส์แลนด์นั้น ได้ประกาศเมื่อวันที่ 15

สำหรับชาวรัฐเซาท์ออสเตรเลียที่ซื้อรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอร์รี หรือเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนที่มีสิทธิ์ จะสามารถยื่นขอรับเงินช่วยเหลือมูลค่า $3,000 ดอลลาร์ เช่นเดียวกับการงดเว้นค่าภาษีรถเป็นเวลา 3 ปี

ส่วนที่รัฐวิกตอเรีย แม้จะมีการมอบเงินชดเชยมูลค่า $3,000 ดอลลาร์สำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่มีสิทธิ์ แต่จากการเรียก ดร.ไวท์เฮ็ด กล่าวว่า เงินช่วยเหลือที่ทำให้ประหยัดตอนซื้อรถ คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของค่าใช้ถนนที่รัฐบาลเรียกเก็บ
 Two Nationals MPs are calling on the federal government to cut the fuel excise as petrol prices continue to climb north of $2 a litre.
ราคาน้ำมันบนป้ายที่สถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ในเมืองเซอร์รี ฮิลส์ (Surry Hills) รัฐนิวเซาท์เวลส์ เมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา Source: AAP Image/Bianca De Marchi

ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่รถ EV เร็วขึ้นหรือไม่

ไมค์ ซินแคลร์ (Mike Sinclair) หัวหน้าฝ่ายเนื้อหา และบรรณาธิการเว็บไซต์ซื้อขายรถ carsales.com.au กล่าวกับเอสบีเอส นิวส์ ว่า มีการค้นหารถยนต์ไฟฟ้าบนเว็บไซต์เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา

โดยผลการค้นหารายเดือนเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.14 โดยจุดสูงสุดคือเมื่อวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งผลการค้นหารถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น 1 ใน 5 ของผลการค้นหาทั้งหมดในวันนั้น

ด้านศาสตราจารย์เบิร์ก กล่าวว่า นั่นไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ

“ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นซึ่งเรากำลังเห็นในทั่วโลก ผลักดันให้ผู้คนเปลี่ยนไปใช้ยานพาหนะที่ใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่มการใช้รถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า” ศาสตราจารย์เบิร์ก กล่าว

“เหตุผลสำคัญก็คือ ความประหยัดอย่างมากที่คุณจะได้รับเมื่อเทียบการใช้รถยนต์ทั่วไป”

ดร.วลาโด วิโวดา (Dr Vlado Vivoda) ผู้บรรยายอาวุโสวิชาการศึกษาเชิงกลยุทธ์ มหาวิทยาลัยดีกิน (Deakin University) กล่าวกับเอสบีเอส นิวส์ ว่าการประหยัดจากการใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้นอยู่ที่ราว $2,000 ดอลลาร์ต่อปี

“ในช่วงที่ราคาน้ำมันสูง เป็นช่วงเวลาที่ดีในการพิจารณาที่จะเปลี่ยน และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและแหล่งพลังงานทางเลือก เพราะมันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลในทางเศรษฐกิจจริง ๆ” ดร.วิโวดา กล่าว

“ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งดีที่เรากำลังมีการอภิปรายกันในระดับชาติ และมีการเตือนสติกันทีละน้อย เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าเราจะไปทางไหน”

ศาสตราจารย์เบิร์ก กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 10 เซนต์ จะทำให้เกิดการลดใช้น้ำมันลงร้อยละ 1 ในระยะสั้น และร้อยละ 3 ในระยะยาว

“ราคาน้ำมันในอนาคตนั้นยากเกินคาดเดา แต่ราคาน้ำมันที่ต่ำมากซึ่งเราได้เห็นเมื่อช่วงแรกของการแพร่ระบาดใหญ่อาจไม่กลับมาอีกภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า” ศาสตราจารย์เบิร์ก กล่าว

“ดังนั้น ผู้คนจึงจำเป็นที่จะเริ่มปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริงใหม่ของราคาน้ำมันที่สูงขึ้น”

Electric cars
รัฐบาลออสเตรเลียจัดสรรงบประมาณ $250 ล้านดอลลาร์สร้างสถานีประจุไฟฟ้า เล็งเพิ่มการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น Source: Pixabay

สิ่งที่จำเป็นในการผลักดันการใช้รถ EV ให้มากขึ้น

แม้ผู้คนในออสเตรเลียจำนวนมากจะมีความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนผ่านสู่ยานพาหนะมลพิษต่ำหรือปลอดมลพิษ แต่ศาสตราจารย์เบิร์ก กล่าวว่า ยานพาหนะเหล่านี้มีราคาเกินเอื้อมสำหรับหลายคน

เขายังได้กล่าวร่วมกับรัฐบาลสหพันธรัฐ รวมถึงรัฐบาลในรัฐและมณฑลต่าง ๆ ที่ได้ประกาศโครงการเงินชดเชยเพื่อให้ยานพาหนะไฟฟ้าราคาถูกลง และลงทุนในโครงสร้างสถานีประจุไฟฟ้าว่า พวกเขาเองควรที่จะทำให้แน่ใจว่ายานพาหนะที่พวกเขาใช้ “เป็นรถไฟฟ้า 100%”

“นั่นเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยอีกหลายเรื่อง เพราะรถของรัฐบาลส่วนมากจะไปอยู่ในตลาดรถมือสอง” ศาสตราจารย์เบิร์ก กล่าว

“กระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลา และความพยายามรีบทำในตอนนี้จะหมายถึงการที่รถเหล่านั้นจะเข้าถึงได้ทั่วไปจากทุกคนมากขึ้น”

ศาสตราจารย์เบิร์ก กล่าวอีกว่า การยกเลิกเก็บภาษีนำเข้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและจักรยานไฟฟ้าบางชนิดในอัตราร้อยละ 5 จะช่วยในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

ดร.เจค ไวท์เฮ็ด กล่าวว่า การใช้มาตรฐานประสิทธิภาพเชื้อเพลิง ซึ่งจะกำหนดให้ยานพาหนะจะต้องสะอาดมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป จะผลักดันให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามายังตลาดออสเตรเลียมากขึ้น

“ในตอนนี้เราได้รับอะไรก็ตามที่เหลือจากสายการผลิต เราอยู่ท้ายคิว เราคือความสำคัญลำดับสุดท้าย” ดร.ไวท์เฮ็ด กล่าว

“หากเราต้องการให้ครัวเรือนและภาคธุรกิจในออสเตรเลียมีทางเลือก ในการเปลี่ยนจากการพึ่งพาพลังงานนำเข้ามาเป็นพลังงานที่ออสเตรเลียผลิตเอง เราจำเป็นต้องมีมาตรฐานประสิทธิภาพเชื้อเพลิงในรูปแบบหนึ่ง หรือเป้าหมายยอดขาย ผนวกกับสิ่งกระตุ้นที่มีนัยยะสำคัญ เพื่อให้เราสามารถส่งเสริมให้ยานพาหนะรุ่นต่าง ๆ เหล่านั้นเข้ามาในประเทศ”





คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์  บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่ 

Share
Published 23 March 2022 3:59pm
Updated 24 March 2022 6:39pm
By Amy Hall
Presented by Tinrawat Banyat
Source: SBS

Share this with family and friends


Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand