ออสเตรเลียจะเปลี่ยนแนวทางจัดการโควิดหลังคริสต์มาส นี่คือสิ่งที่เปลี่ยนไป

วิธีที่ออสเตรเลียบริหารจัดการกับโควิด-19 จะเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ 1 มกราคม 2023

PCR tests can be conducted by yourself at home, at private clinics or state-run testing hubs before you travel interstate.

Australian will soon need a doctor's referral to get a COVID-19 PCR test. Source: AAP

ประเด็นสำคัญในข่าว
  • มีคำเตือนถึงชาวออสเตรเลียว่า คาดว่าจะมีโควิด-19 จะระบาดหลายระลอกต่อไปนานอย่างน้อย 2 ปี
  • โครงการด้านสุขภาพจิตจะลดการให้บริการลง
  • การตรวจเชื้อแบบพีซีอาร์ฟรีที่คลินิกแพทย์เอกชนจะต้องมีใบส่งตัวจากแพทย์
ผู้คนในออสเตรเลียจะพบว่า ยากขึ้นที่จะเข้าถึงการตรวจเชื้อแบบพีซีอาร์ (PCR) ฟรีตั้งแต่เดือนมกราคม แม้จะมีคำเตือนให้ผู้คนคาดการณ์ได้เลยว่าจะมีโควิด-19 ระลอกใหม่เกิดขึ้น "เป็นประจำ" เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี

รัฐบาลสหพันธรัฐจะลงทุน 2.8 ล้านดอลลาร์สำหรับแผนบริหารจัดการโรคโควิด-19 แห่งชาติสำหรับปี 2023 โดยจะออกกลยุทธ์เพื่อรับมือกับการระบาดใหญ่ของโควิดตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นไป

นาย มาร์ก บัตเลอร์ รัฐมนตรีสาธารณสุขของออสเตรเลีย กล่าวว่า เพื่อลดความตึงเครียดในระบบการดูแลสุขภาพของออสเตรเลียที่อยู่ภายใต้ความกดดันอยู่แล้ว รัฐบาลจึงจะมุ่งเป้าไปที่การสนับสนุนผู้คนที่มีความเปราะบางที่สุดในออสเตรเลีย โดยเปลี่ยนจาก "โควิดเป็นข้อยกเว้น" ไปสู่การปฏิบัติเกี่ยวกับโรคนี้ "ในลักษณะเดียวกันกับเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจอื่นๆ"
แต่ฝ่ายค้านได้ตำหนิว่า เป็นการตัดสินใจที่ "สะเปะสะปะ" และ "เลินเล่อ" ที่จะยกเลิกโครงการด้านสุขภาพจิตที่ริเริ่มในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ของโควิด ซึ่งพรรคแรงงานเตือนว่าก่อให้เกิดผลเสียโดยไม่ได้เจตนาคือ การเข้าถึงบริการนี้ทำได้ยากขึ้นสำหรับชาวออสเตรเลียที่มีรายได้น้อย

ศ.พอล เคลลี ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ของสหพันธรัฐ เตือนว่า เนื่องจากการอุบัติขึ้นของเชื้อสายพันธุ์ใหม่ จึงคาดว่าจะมีการระบาดของโควิด-19 หลายระลอกเกิดขึ้นจนถึงสิ้นปี 2025 เป็นอย่างน้อย

แต่ ศ.เคลลี คาดว่า การระบาดระลอกต่างๆ เหล่านั้น ไม่น่าจะทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับการระบาดจากเชื้อสายพันธุ์เดลตา

“ความรุนแรงของการระบาดระลอกต่างๆ ในอนาคตอาจรุนแรงน้อยกว่า จึงสร้างแรงกดดันต่อระบบสุขภาพน้อยกว่า” ศ.เคลลี กล่าว

"เมื่อประกอบกับภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นและภูมิคุ้มกันแบบผสมจากการติดเชื้อซ้ำและการฉีดวัคซีนอย่างตรงเป้าหมาย ก็จะช่วยลดผลกระทบต่อประชาชนและส่งผลให้มีชาวออสเตรเลียที่เจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตน้อยลง"
s
Australians have been told to expect new variants for at least two years. Source: AAP

บริการสุขภาพจิตจะเปลี่ยนไป

ในช่วงที่มีการล็อกดาวน์สูงสุดในปี 2020 ชาวออสเตรเลียที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคทางจิตจะมีสิทธิ์ใช้บริการรับคำปรึกษาจากนักจิตวิทยาได้ 20 ครั้ง โดยได้รับเงินชดเชยจากเมดิแคร์

แต่นายบัตเลอร์เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ว่า บริการรับคำปรึกษาจากนักจิตวิทยานี้จะลดลงเหลือ 10 ครั้ง เท่ากับสิทธิ์ที่ให้ก่อนเกิดการระบาดใหญ่ของโควิด ตั้งแต่ในปี 2023 เป็นต้นไป หลังการศึกษาวิจัยอิสระพบว่า ชาวออสเตรเลียที่มีรายได้สูงมีแนวโน้มที่จะเข้าถึงบริการนี้มากกว่า

รัฐมนตรีสาธารณสุขกล่าวว่า คนที่มีรายได้น้อยมักต้องรอคอยเป็นระยะเวลายาวนานกว่าจะสามารถรับบริการนี้ได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีอัตราประสบความทุกข์ทรมานทางจิตใจมากกว่าเป็นสองเท่าก็ตาม

“การประเมินนี้ตอกย้ำความสำคัญที่ในอนาคตจะต้องทำให้แน่ใจได้ว่า มีการเข้าถึงโครงการที่สำคัญนี้ได้อย่างเท่าเทียมมากขึ้นสำหรับกลุ่มคนเหล่านั้นที่การประเมินพบว่า ส่วนใหญ่พลาดการได้รับบริการเหล่านี้” นายบัตเลอร์ กล่าว

นาง แอนน์ รัสตัน โฆษกของพรรคฝ่ายค้าน กล่าวว่า ความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตสำคัญอย่างยิ่ง ขณะที่ แรงกดดันด้านค่าครองชีพสูงขึ้น และผลกระทบจากโควิดระบาดยังคงรู้สึกได้ทั่วไป

นางรัสตัน กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงโครงการด้านสุขภาพจิตที่รัฐบาลพรรคร่วมได้ริเริ่มนั้น "เลินเล่ออย่างสิ้นเชิง"

“น่าตกใจที่รัฐบาลอัลบานีซีตัดสินใจว่าถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะตัดความช่วยเหลือเพิ่มเติมด้านสุขภาพจิตจากชาวออสเตรเลียที่พึ่งพาความช่วยเหลือดังกล่าว” นางรัสตัน กล่าว

"จำเป็นอย่างยิ่งที่ชาวออสเตรเลียที่เปราะบางจะสามารถเข้าถึงบริการด้านจิตวิทยาที่พวกเขาต้องการได้อย่างต่อเนื่อง"

การคาดการณ์ด้านผู้ป่วยลองโควิด

การฉีดวัคซีนให้ฟรี ซึ่งแผนนี้ระบุว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดการเจ็บป่วยรุนแรง จะยังคงมีให้บริการต่อไป ในขณะที่การรักษาด้วยยาต้านไวรัสชนิดรับประทานจะขยายบริการให้มากขึ้นสำหรับผู้คนในออสเตรเลียที่เข้าเกณฑ์

ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ผู้คนในออสเตรเลียจะต้องมีใบส่งตัวจาก "แพทย์หรือพยาบาล" จึงจะสามารถรับการตรวจเชื้อแบบพีซีอาร์จากคลินิกเอกชนได้ฟรี โดยมีการชดเชยค่าตรวจให้จากเมดิแคร์ (Medicare)

รัฐบาลสหพันธรัฐตกลงที่จะขยายระยะเวลาให้เงินทุนร้อยละ 50 สำหรับศูนย์ตรวจเชื้อที่ดำเนินการโดยรัฐบาลรัฐ ซึ่งการตรวจเชื้อแบบพีซีอาร์ฟรีจะยังคงให้บริการต่อไป แต่จำนวนศูนย์ตรวจเชื้อที่ดำเนินการโดยรัฐบาลของรัฐได้ลดลงจากที่เคยมีช่วงวิกฤติโควิดในปี 2020 และ 2021
“ไม่มีข้อกำหนดหรือคำแนะนำด้านสาธารณสุขสำหรับบุคคลที่มีความเสี่ยงต่ำที่ต้องตรวจเชื้อแบบพีซีอาร์” แผนดังกล่าวระบุ

การรักษาด้วยยาต้านไวรัส ซึ่งกำลังมีบทบาทโดดเด่นมากขึ้นในการรับมือโควิดของออสเตรเลีย จะมีให้แก่ผู้คนในออสเตรเลียที่เข้าเกณฑ์ ซึ่งพบผลการตรวจเชื้อเป็นบวก ทั้งจากการตรวจด้วยชุดตรวจเชื้อด้วยตนเองหรือจากการตรวจเชื้อแบบพีซีอาร์

แต่เนื่องจากข้อกำหนดการกักตัวและการตรวจเชื้อเกือบทั้งหมดถูกยกเลิกไปในเดือนตุลาคม นาย มาร์ค บัตเลอร์ รัฐมนตรีสาธารณสุขยืนยันว่า รัฐบาลสหพันธรัฐจึงจะกำหนดเป้าหมายการให้การสนับสนุนไปยังกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงที่สุดในออสเตรเลีย

"เราจะยังคงปกป้องผู้ที่มีความเสี่ยงมากที่สุด ในขณะเดียวกันก็พยายามทำให้มั่นใจได้ว่าเรามีศักยภาพที่จะรับมือกับการระบาดระลอกต่างๆ และเชื้อสายพันธุ์ต่างๆ ในอนาคต" นาย บัตเลอร์ กล่าว

แผนดังกล่าวระบุว่า การยับยั้งการระบาดของเชื้อสายพันธุ์เดลตาในปี 2021 ทำให้ออสเตรเลียอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่าในการรับมือกับภาวะลองโควิด (long COVID) ซึ่งเป็นอาการหลงเหลือหลังติดเชื้อโควิด

เชื้อสายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) ซึ่งทำให้เกิดการระบาดอย่างหนักในออสเตรเลียในช่วงปลายปี 2021 และต้นปี 2022 นั้น มีแนวโน้มน้อยกว่าที่จะนำไปสู่ภาวะลองโควิด


คุณสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่เว็บไซต์ 


บันทึกเว็บไซต์ของเราเก็บไว้ในบุ๊กมาร์ก เพื่อไม่ให้คุณพลาดสถานการณ์ล่าสุด หรือติดตามเราทางเฟซบุ๊กที่ 

Share
Published 13 December 2022 1:06pm
By Finn McHugh
Presented by Parisuth Sodsai
Source: SBS


Share this with family and friends


Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand